นิติศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเรื่องกฎหมาย หรือวิชาที่มีกฎหมายเป็นวัตถุของการศึกษา ซึ่งศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ ได้ใช้คำภาษาอังกฤษแทนวิชานิติศาสตร์ว่า "science of law"
|
การศึกษานิติศาสตร์
วิชานิติศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็นหลายแขนงได้ตามแง่มุมที่ศึกษา ซึ่งอาจสามารถแบ่งออกได้เป็น- วิชานิติศาสตร์โดยแท้ (legal science proper) ได้แก่ การศึกษาตัวบทกฎหมายซึ่งเป็นเนื้อหากฎหมาย และนิติวิธีหรือวิธีการใช้กฎหมายเพื่อนำไปใช้ปรับใช้แก่คดีและประกอบวิชาชีพ นักกฎหมาย
- นิติศาสตร์ทางข้อเท็จจริง (legal science of facts) เป็นการศึกษากฎหมายในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์หรือใน สังคม โดยไม่ประเมินคุณค่าว่าถูกหรือผิด เช่น วิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย และวิชาสังคมวิทยากฎหมาย
- นิติศาสตร์เชิงคุณค่า (legal science of values) เป็นการศึกษากฎหมายในเชิงวิจารณ์เปรียบเทียบและประเมินคุณค่า เช่น วิชากฎหมายเปรียบเทียบ และวิชานิติบัญญัติ
หลักนิติศาสตร์
หลักนิติศาสตร์ (Jurisprudence) คำดังกล่าวในภาษาอังกฤษ เป็นคำเก่าที่ใช้ตั้งแต่สมัยโรมัน โดยมาจากภาษาลาตินว่า jurisprudentium มีรากศัพท์จาก "juris" แปลว่า กฎหมาย และ "prudentium" แปลว่า ความฉลาด ซึ่งรวมแล้วแปลว่า "ความรู้กฎหมายหรือวิชากฎหมาย" โดยในประมวลกฎหมายของพระเจ้าจัสติเนียน จะกล่าวไว้ในมูลบทนิติศาสตร์ฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วว่า "jurisprudence is the knowledge of things devine and human; the science of the just and the unjust".อย่างไรก็ตาม jurisprudence ยังคงมีการใช้ในความหมายพิเศษอีก ได้แก่
- Jurisprudence ในภาษาฝรั่งเศส ย่อมาจากคำว่า jurisprudence constant หมายถึง ความรู้กฎหมายที่เกิดจากแนวคำพิพากษาของศาล เป็นคำตรงข้ามกับ doctrine ซึ่งหมายถึง กฎหมายที่สอนในตำรากฎหมาย
- Jurisprudence เป็นชื่อวิชาเฉพาะที่สอนในโรงเรียนกฎหมายในอังกฤษ ซึ่งเริ่มก่อตั้งโดย John Austin เมื่อ ค.ศ. 1828-1832 ในมหาวิทยาลัยลอนดอน ซึ่งมีคำสอนว่ากฎหมาย คือ คำสั่งของรัฐาธิปัตย์ และถูกนำเข้ามาในประเทศไทยโดยเสด็จในกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
การเรียนการสอนนิติศาสตร์ในประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2440 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้ทรงก่อตั้ง "โรงเรียนกฎหมาย" ขึ้นในกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเปิดการเรียนการสอนโดยคณาจารย์ส่วนใหญ่เป็นตุลาการ ต่อมา จึงมีการยุบโรงเรียนกฎหมายไปจัดตั้งเป็น "คณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์" ขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2476 หลังจากนั้นเพียง 8 เดือน นักเรียนโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมเดิม ไม่พอใจที่ทำไมโรงเรียนข้าราชการพลเรือน (ปัจจุบันคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้ยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัย แต่ทำไมโรงเรียนกฎหมายจึงไม่ได้ยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยบ้าง ดร.ปรีดี พนมยงค์ จึงรับปากว่าจะช่วย และในที่สุดจึงมีการออกพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ให้โอนคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปสังกัดมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ ปัจจุบัน คือ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงอาจกล่าวได้ว่าการโอนโรงเรียนกฎหมายไปสังกัดคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นการโอนไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น ทำให้คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นคณะนิติศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย อันสืบทอดโดยตรงจากโรงเรียนกฎหมายเดิม และเมื่อปี พ.ศ. 2494 ได้มีการจัดการเรียนการสอนนิติศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้งใน คณะรัฐศาสตร์ ก่อนที่จะพัฒนามาเป็น คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2515 และมีการก่อตั้ง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 ปัจจุบัน มีสถาบันอุดมศึกษาได้เปิดการเรียนการสอนในสาขาวิชานิติศาสตร์ในหลายสถาบันทั้งในภาครัฐและเอกชนนิติศาสตรบัณฑิต
นิติศาสตรบัณฑิต (น.บ.) เป็นปริญญาหรือวุฒิทางการศึกษา ซึ่งผู้ที่ต้องการประกอบวิชาชีพทางด้านกฎหมาย เช่น ทนายความ ผู้พิพากษา อัยการ นิติกร จะต้องได้รับก่อนที่จะสามารถเริ่มเข้าสู่วิชาชีพด้านกฎหมาย โดยเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ใช้เพื่อเข้ารับการอบรมและสอบเพื่อเป็นทนายความ หรือสอบเนติบัณฑิตไทย เพื่อที่จะมีสิทธิสอบคัดเลือกเพื่อเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการต่อไปโดยทั่วไปหลักสูตรจะใช้เวลาศึกษา 4 ปี วิชาที่ศึกษาจะเน้นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา กฎหมายปกครอง รัฐธรรมนูญ และกฎหมายวิชาเลือกอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้จุดเน้นของหลักสูตรอาจแตกต่างตามสถาบันการศึกษา
ทำได้ทุกอย่างที่อยากทำครับ โดยเฉพาะถ้าสิ่งนั้นทำให้เราไปสู่เป้าหมาย (วิถีชีวิตที่เราต้องการ) ในชีวิตได้ .. ฟังยากไปหรือเปล่า คือว่า ถ้าสมมุติผมเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ ชอบการท่องเที่ยวรักอิสระ อยากมีเวลาอยู่กับครอบครัวเยอะๆ ไม่ชอบเป็นลูกน้องใคร ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง ไม่ชอบทำงานแบบเช้าไปเย็นกลับ ตอกบัตรเซนต์ชื่อ จะมีเวลาเป็นของตัวเองหลัง 17.00 น. (ยังไม่รวมเวลารถติดอยู่บนถนนใน กทม.อีกนะครับ) ได้พักแค่วันเสาร์หรืออาทิตย์ อย่างนี้เป็นต้น ผมก็ไม่เหมาะทำงานประจำ เพราะมันขัดกับความเป็นตัวเรา ทั้งรายได้ก็พอใช้จ่ายต่อเดือน ไม่มีโอกาสรวย (เงินน้อย แถมมีเวลาน้อยด้วย) ต้องทำงานตลอดชีวิต อย่างนี้ก็ไม่ไหวครับ (เอะ.. แต่ทำไมคนส่วนใหญ่เขาทำกันหว่า..แต่ไม่ได้หมายความว่า อะไรที่คนส่วนใหญ่ทำกัน.. ถ้าเราไม่ชอบแล้วเราจะต้องไปเลือกทำด้วยนิครับ.. จริงเปล่า)
ผมเองจบ ม.ราม นิติ เหมือนกัน รับราชการ คิดว่าเป็นงานที่มั่นคง พอทำจริงก็มั่นคงจริงๆ ครับ คือจนมั่นคงนะครับ (ถ้าสุจริต)ไม่มีโอกาสรวย เงินเดือนขึ้นปีละ 2% เงินเฟ้อขึ้นปีละ 5% ต่อให้ได้ 2 ขั้นทุกปี เงินก็ไม่มีทางพอใช้ครับ สมมุติทำงานบรรจุ ระดับ 3 (ปัจจุบันไม่มีซีแล้ว แต่เงินเดือนพอเทียบได้) ประมาณ 10,000 บาท รู้ไหมครับว่าต้องทำงานอีกกี่ปี ถึงจะได้เงินเดือนถึง 20,000 บาท เอาบัญชีเงินเดือนมาเทียบนะครับ ร่วม 10 ปี นะครับ (พูดซะ.. ไม่อยากทำงานเลย)
อย่างนี้ครับ เดี๋ยวจะยาวเกินไป (นี่แก ยังไม่ยาวอีกหรือ) ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็ไม่ใช่อะไรครับ คือผมเมื่อก่อนก็ไม่คิดไร แต่พอชีวิตในงานประจำ รายได้แต่ละเดือนแทบไม่พอใช้จ่าย (ถ้าต้องเช่าหอพัก ละก็ไม่พอรับทาน) บ่อยๆ เข้า ก็เอะใจว่า เอ๊ะเมื่อไหร่ไอ้วงจร(อุบาทว์)ชีวิตแบบนี้ มันจะหมดไปซักที พอเหลือตาไปดูพี่ที่งานมาก่อนเรา 10 ปี ในตำแหน่งเดียวกับเรา ชีวิตแก่ก็ยังเป็นเหมือนเราวันนี้อยู่เลย (เป็นหนี้สหกรณ์ใช้ยันชาติหน้า ทำงานหน้าดำค่ำเครียด ปีไหนไม่ได้ขั้นก็บ่น ต้องตื่นแต่เช้า ตี 4 ตี 5 มาทำงาน... โถชีวิต) ถ้าเรายังปล่อยชีวิตไว้แบบนี้ต่อไป.. ท่าจะไม่ดีเป็นแน่แท้ อย่ากระนั้นเลย...
ตั้งแต่นั้น ที่ผมคิดได้ (พึ่งคิดได้ ทำงานมาเป็น 10 ปี แล้วเนี่ยนะ (แต่ก็ยังดีกว่าคิดไม่ได้ ล่ะนะ)) ผมก็ได้ศึกษาหาความรู้อย่างอื่นนอกจากวิชากฎหมาย เช่น จะทำยังไงถึงจะไม่ต้องลำบากตรากตรำ ทำงานจนวันสุดท้ายของชีวิต ทำยังไงชีวิตถึงจะมีเงินมากกว่านี้ (พอใช้จ่ายในสิ่งที่เราต้องการ ไม่ต้องเป็นหนี้ มีเวลาทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ไม่ต้องรอวันเสาร์ อาทิตย์) มีชีวิตที่เป็นอิสระ (โห..ยังร่ายไม่จบหรือนี้ ..สงสัยเก็บกดมานาน) โดยการหาหนังสือเกี่ยวกับงานต่างๆ ที่ทำให้เรามีชีวิตอย่างที่เราอยากมีได้ (ใครรู้บ้าง ว่ามีอะไรบ้าง ตอนนี้ผมพอรู้แล้ว และกำลังพยายามทำให้สำเร็จ (น่าจะซัก 2-3 ปี) ลองคิดดูนะครับ ถ้าเรายังเรียนอนุบาล 2 ปี ประถม 6 ปี มัธยม 6 ปี นิติอีก 3 ปี รวมๆ แล้ว ก็.....ประมาณ 17 ปี โห..อะไรวะเนี่ย พอมานับดู นานขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เรียนหนังสือมา 17 ปี เพื่อมาทำงานรับเงินเดือน 10,000 บาท แถมเอาเวลาเราไปเกือบทั้งชีวิต)
สรุปดีกว่า (พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า...........ไปทำงาน) เอาเป็นว่าถ้าเราจะเลือกงาน (พึ่งเข้าเรื่อง หรือนี่..แม่เจ้า อ่านมาตั้งนาน) ให้เทียบเคสนี้ดูนะครับ ถ้าเราจะนั่งรถเมล์ไปสะพานควาย (แสดงว่าไม่ใช่สำหรับคนใช้ .. หรือเปล่าหว่า) ซึ่งในที่นี้ก็คือจุดหมายปลายทางของเรา เราคงไม่ขึ้นรถคันแรกที่มาที่มาหรอกใช่ไหม เราคงดูป้ายก่อน ว่ามันไปสะพานควายหรือเปล่าใช่ไหมครับ เพราะถ้าไม่ดูป้าย มันจะพาเราไปไหนก็ไม่รู้
ทีนี้เทียบเรื่องการเลือกงานที่จะทำนะครับ ถ้าเราลองกำหนดจุดหมายปลายทาง "ชีวิต" ของเรา เหมือนกับตัวอย่างรถเมล์ ที่มีจุดหมายที่สะพานควาย ถ้าจุดหมายของเราในที่นี้คือ การมีชีวิต แบบมีเงินใช้จ่ายคล่องมือ ชอบการท่องเทียว ไม่ต้องทำงานจะแก่ อยากรวย อยากมีเวลาให้ครอบครัวเยอะๆ เป็นต้น (มากไปเปล่า) แตพอจะหางานเลือกงาน (รถเมล์) ยังไงครับ คนส่วนใหญ่จบมา คว้างานไหนได้เอางานนั้นก่อนใช่ไหมครับ ซึ่งมันก็คือ "การขึ้นรถเมล์โดยไม่ดูป้าย" นั่นหละครับ และจุดหมายปลายทางของชีวิตจะไปลงตรงไหน จะรู้ไหมหละครับ ชีวิตไม่เหมือนเกมส์กดนะครับ เล่นไปเรื่อยๆ พอใกล้จะแพ้เกมส์ กดปุ่มเล่นใหม่.. ซะงั้น ช่วงเวลาสร้างชีวิต ของมนุษย์เรา อยู่ในช่วงวัยกลางคน (ส่วนใหญ่) 20 กว่า ถึง 30 กว่าๆ ช่วงเวลาแบบนี้ มนุษย์ทุกคนมีได้แค่ คนละ 1 ครั้ง เท่านั้น สุดท้ายนี้ คิดให้ดีก่อนขึ้นรถเมล์ เอ๊ย.. ไม่ใช่ คิดให้ดีก่อนเลือกอาชีพนะครับ สวัสดี ราตรีสวัสดิ์ครับ ...
จบมาแล้วทำงาน ?
เรียนนิติศาสตร์จบมาทำงาน ได้กว้างขวางมากมายกว่าสาขาอื่นๆ มีอาชีพ เพราะเกี่ยวกับกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา และกฎหมายมหาชน
เป็นทนายที่ดี เป็นยาก เป็นผู้พิพากษา ยิ่งยากมากต้องวาสนาดี หรือมีความพยายามสูงสอบไปเรื่อยๆ
นักปกครอง เช่น นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด อัยการ กกต.จังหวัด
เลขาธิการ สคบ. ควบคุมดูแลบังคับใช้กฎหมายต่างๆ สัญญา เพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค
รับราชการตำรวจ จับผู้ร้าย
รับราชการทหาร เป็นนายพลตรี โท เอก คุมกองกำลังทหารของประเทศ
รับราชการกรมศุลกากร อธิบดี ได้เลื่อนไปเป็นปลัดกระทรวงการคลังคนปัจจุบัน
วิทยากรในหน่วยงานราชการการทุกแห่ง หัวหน้าส่วนราชการของจังหวัด
ถ้า เก่งจริงรู้ภาษาต่างประเทศทั้งเขียนอ่าน ตั้งบริษัทที่ปรึกษากฎหมายระดับ international ได้ค่าjob ตอบแทนละ เป็นล้านบาท ถึง 20 ล้านบาท
เป็นนักการเมือง มีอำนาจเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ
เป็นนักปกครองท้องถิ่น เช่น นายกเทศมนตรี นายกอบต.
ในภาคเอกชน เป็นที่ปรึกษากฎหมายเฉพาะด้าน เช่นด้านการธนาคาร ทั้งในและต่างประเทศ




